น่าคิด! “อดีตรองอธิการ มธ.” ยก 4 ข้อ “พิธา” เหมาะนั่งนายกฯ หรือไม่ ลั่น ไม่มีสิทธิอ้าง “14 ล้านเสียง” ชี้ มิอาจฝืนวาสนาตัวเอง...

Mr Re
0

 

น่าคิด! “อดีตรองอธิการ มธ.” ยก 4 ข้อ “พิธา” เหมาะนั่งนายกฯ หรือไม่ ลั่น ไม่มีสิทธิอ้าง “14 ล้านเสียง” ชี้ มิอาจฝืนวาสนาตัวเอง...

ภาพ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากแฟ้ม
ภาพ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากแฟ้ม

“อดีตรองอธิการ มธ.” ยก 4 ข้อ “พิธา” เหมาะนั่งนายกฯหรือไม่ ระบุ พฤติกรรม และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นข้อเท็จจริง บ่งชี้ว่า เป็นคนอย่างไร ซัด “ด้อมส้ม” ไม่มีสิทธิอ้าง 14 ล้านเสียง เพราะไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ ชี้ มิอาจฝืนวาสนาตัวเอง

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (11 มิ.ย. 66) เพจเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ของ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์ข้อความระบุว่า

“ประชาชน 14 ล้านคนชี้ขาดให้พิธาเป็นนายกฯ อย่าบังอาจวินิจฉัยรับใช้เผด็จการ”

ด้านบนเป็นข้อความที่มีคนชูป้ายในม็อบ 24 มิถุนา นำโดย นายสมยศ พฤษาเกษมสุข ไปยื่นหนังสือกดดันให้ กกต. รับรองผลการเลือกตั้งในทันที เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ที่ผ่านมา

ในขณะที่ฝ่ายไม่เอาพรรคก้าวไกล เชื่อว่า การที่ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้น itv น่าจะเป็นเหตุให้คุณพิธาถูกตัดสิทธิการเป็นส.ส.อย่างแน่นอน แต่สำหรับการจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ ยังไม่ชัดเจน เพราะคุณพิธาเพิ่งโอนหุ้นให้ทายาทคนอื่นไปแล้วก่อนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในสภา นักกฎหมายบางคนเห็นว่า เป็นนายกรัฐมนตรีได้ บางคนก็เห็นว่า เมื่อวันที่ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง และยื่นรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หากวันนั้นขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องถือว่าจบไปแล้ว ไม่สามารถเสนอชื่อเข้าไปโหวตกันในสภาได้อีก

ในขณะเดียวกัน พรรคก้าวไกล และบรรดาด้อมส้ม ก็พยายามทำให้คนในฝ่ายตัวเอง เชื่อว่า ไม่ว่าคุณพิธาจะทำผิด หรือไม่ได้ทำผิด การที่มีคนลงคะแนนให้พรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียง เป็นการชี้ขาดแล้วว่า ให้คุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี จะทำให้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ และพยายามทำให้คนเชื่อว่าคุณพิธากำลังถูกกลั่นแกล้งจากฝ่ายตรงข้ามเพื่อสกัดกั้นพรรคก้าวไกล ซึ่งคนจำนวนมากก็เชื่อจนลืมไปว่า นี่เป็นเกมการเมือง และถ้าคุณพิธาไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่มีใครทำอะไรคุณพิธาได้ และนี่เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี ที่จะต้องถูกขุดคุ้ยตรวจสอบ อันเป็นสัจธรรมที่ต้องยอมรับหากรักจะเล่นการเมือง

อย่างไรก็ดี วันนี้เราจะไม่ไปถกเถียงกันในเรื่องข้างต้น แต่เราจะมาลองพิจารณากันดูว่า คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีความเหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีมากน้อยแค่ไหน

ถ้ามองเฉพาะที่คุณวุฒิการศึกษา ต้องยอมรับเลยว่า คุณพิธา มีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เรียนมาทั้งด้านบริหารธุรกิจ และด้านการเมืองการปกครองจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อก้องโลก 2 แห่ง จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย หากเทียบกับคุณธนาธรในด้านการศึกษา คุณธนาธรต้องชิดซ้ายไปอย่างไม่ต้องสงสัย

ถ้ามองที่พฤติกรรมของคุณพิธา และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นข้อเท็จจริง ที่บ่งชี้ว่า คุณพิธาเป็นคนอย่างไร เราอาจต้องคิดใหม่และต้องชั่งน้ำหนักระหว่างวุฒิการศึกษา กับตัวตนที่แท้จริงของคุณพิธา ว่า จะให้น้ำหนักส่วนไหนมากกว่ากัน เราลองมาดูกันว่า พฤติกรรมและเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทยอยเปิดเผยออกมามีอะไรบ้าง

1. คุณพิธา ให้สัมภาษณ์ผู้จัดรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ว่า ตอนที่ยังศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ต้องบินกลับมางานศพคุณพ่อ พอดีเกิดการรัฐประหารรัฐบาลคุณทักษิณ ตัวเองเป็นข้าราชการการเมืองช่วยงาน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ถูกทหารตรวจข้าวของและกักตัวไว้จนไปงานศพไม่ทัน ทั้งยังถูกอายัดบัญชีธนาคาร ต้องหาเงินไปจัดงานศพคุณพ่อ สังเกตว่า คุณพิธาพยายามบอกว่าตัวเองก็ได้รับผลกระทบจากการทำรัฐประหารค่อนข้างมาก เกือบจะเรียกได้ว่าถูกทหารกลั่นแกล้งเลยก็ว่าได้

ข้อเท็จจริง: มีคนไปขุดคุ้ยว่าคุณพิธาเคยให้สัมภาษณ์เรื่องเดียวกันนี้ ในรายการโทรทัศน์อีกรายการหนึ่งนานมาแล้วตั้งแต่ปี 2549 คุณพิธาให้สัมภาษณ์ไม่ตรงกันกับที่ให้สัมภาษณ์เมื่อเป็นนักการเมืองแล้ว สังเกตว่า การให้สัมภาษณ์ครั้งนั้นไม่ได้พยายามพูดถึงทหารในด้านลบ แต่บอกว่าเขาก็ต้องตรวจเป็นธรรมดา และแม้ว่าจะไปงานศพช้าสักหน่อย แต่ก็ไปทัน ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการถูกอายัดบัญชีเงินฝาก

นักข่าวยังไปสัมภาษณ์ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะตัวแทนรัฐบาลไทยที่เดินทางกลับจากการประชุมที่องค์การสหประชาชาติ โดย ดร.ปานปรีย์ ให้ข้อมูลว่า มีคนฝากคุณพิธาซึ่งเป็นนักเรียนอยู่ที่บอสตัน ให้ร่วมเดินทางมากับเครื่องบินเที่ยวบินพิเศษ และเมื่อเดินทางมาถึงก็ใช้เวลาไม่มากก็เดินทางออกจากสนามบินได้ และตัว ดร.ปานปรีย์ ก็ไม่ได้ถูกอายัดบัญชีแต่อย่างใด ตัว คุณผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ อาของคุณพิธาซึ่งเป็นคนสนิทของคุณทักษิณ ก็ไม่ได้โดนอายัดบัญชีเช่นกัน

2 . กรณีถือหุ้น itv คุณพิธาให้ข่าว และตอบคำถามนักข่าว ว่า ถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก ไม่ใช่หุ้นของตัวเอง เมื่อไม่กี่วันมานี้มีข่าวว่า คุณพิธาโอนหุ้นไปให้ทายาทคนอื่น เมื่อนักข่าวถามว่า คุณพิธาได้เคยรับโอนหุ้นมาหรือไม่ คุณพิธา ตอบว่า ตัวเองไม่เคยรับโอนหุ้นดังกล่าวแต่อย่างใด และพยายามปั่นกระแสว่ามีคนพยายาม ปลุก itv ให้ฟื้นคืนชีพเพื่อสกัดกั้น “พวกเรา”

ข้อเท็จจริง : คุณพิธามีชื่อปรากฏอยู่ในหนังสือบริคณห์สนธิ หรือ บอจ 2 ตั้งแต่ปี 2551 จนถึง 2566 เพิ่งโอนให้ทายาทคนอื่นไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง หากคุณพิธาถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก จะต้องระบุในหนังสือบริคณห์สนธิ ว่า “ผู้จัดการมรดก” แต่ในหนังสือบริคณห์สนธิมีเพียงช่ือของคุณพิธาเท่านั้น และหากคุณพิธาไม่เคยรับโอนหุ้นเลย ชื่อผู้ถือหุ้นที่ปรากฏอยู่ในหนังสือบริคณห์สนธิจะต้องเป็นชื่อของผู้ถือหุ้นเดิมคือชื่อคุณพ่อคุณพิธา

itv แม้ไม่ได้มีการผลิตรายการโทรทัศน์ออกอากาศในช่อง UHF เช่นเดิม เนื่องจากสำนักนายกรัฐมนตรีได้ยกเลิกสัญญาสัมปทานไปแล้ว แต่ itv ยังไม่เคยจดแจ้งปิดกิจการ มีตัวเลขกำไร และส่งงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาทุกปี ซึ่งหมายความว่า itv อาจลุกขึ้นมาดำเนินธุรกิจได้ทุกเมื่อ

ข้อสังเกต : มีข่าวว่า สาเหตุที่คุณพิธาตัดสินใจโอนหุ้นไปให้ทายาทคนอื่น ก็เพราะต่อให้ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. แต่อาจยังเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ถ้าในวันที่โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คุณพิธาไม่ได้ถือหุ้น itv แล้ว และอีกสาเหตุหนึ่ง คือ คุณพิธาเลือกแนวทางการต่อสู้คดี โดยอ้างว่าได้สละมรดกที่เป็นหุ้น itv แล้ว ดังนั้น เท่ากับว่า คุณพิธา ไม่ได้เคยถือหุ้น itv มาก่อนเลย นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำไมคุณพิธาจึงตอบนักข่าวว่า ไม่ได้รับโอนหุ้น itv มาเลย

3. ฐานเศรษฐกิจเปิดหลักฐาน ว่า ระหว่างปี 2549 ถึง ปึ 2560 บริษัท ออยล์ ฟอร์ไลฟ์ ของครอบครัวคุณพิธาได้ให้เงินกู้ระยะสั้นให้กับบุคคลปริศนา ในระหว่างที่คุณพิธาเป็นกรรมการบริษัท รวมกันแล้วเป็นเงิน 117 ล้านบาท ปีต่อๆ มายอดเงินกู้ดังกล่าวนี้ ไม่ได้มีการได้รับชำระหนี้และได้ตัดเป็นหนี้สูญ ไปแล้วทั้งหมด

ข้อสังเกต : ปรากฏการณ์เช่นนี้ คำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุด คือ มีการ siphon เงินออกจากบริษัทไปใช้ทำอะไรสักอย่างที่เปิดเผยไม่ได้ เรื่องนี้แม้เป็นเรื่องส่วนตัวภายในบริษัทของคุณพิธา แต่เนื่องจากคุณพิธากำลังพยายามจัดตั้งรัฐบาล หากทำได้สำเร็จตัวเองจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณพิธาจะต้องชี้แจงเรื่องนี้ต่อสาธารณะว่าเงินกู้จำนวนนี้ใครเป็นคนเอาไป เมื่อไม่ได้ชำระหนี้ ทำไมกลับตัดเป็นหนี้สูญ เงินจำนวนมากถึง 117 ล้านบาท ทำไมจึงไม่ฟ้องร้องดำเนินคดี


ภาพ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร ขอบคุณข้อมูล-ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr




ภาพ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร ขอบคุณข้อมูล-ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr
จนบัดนี้ คุณพิธาก็ยังไม่ได้ออกมาชี้แจง นั่นแสดงว่า ไม่สามารถชี้แจงได้ พรรคก้าวไกลพยายามเน้นเรื่องความโปร่งใสตรวจสอบได้อยู่ตลอดเวลา ถึงกับพยายามจะให้ตรวจสอบทรัพย์สินและการใช้จ่ายของพระมหากษัตริย์ แต่บริษัทของหัวหน้าพรรคกลับไม่ยอมออกมาชี้แจงให้ชัดเจน

4. ฐานเศรษฐกิจ เปิดหลักฐานว่า บริษัท ออยล์ ฟอร์ไลฟ์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 ในช่วงที่คุณพิธาเป็นกรรมการบริษัทและเป็นกรรมการผู้จัดการ ระหว่างวันที่ 5 ตุลาคม 2549 ถึงวันที่ 6 มีนาคม 2560 บริษัทมีหนี้สินกับสถาบันการเงินหลายแห่งรวม 460 ล้านบาท นอกเหนือจากทรัพย์สินและบัญชีเงินฝากต่างๆที่จดจำนองเพื่อค้ำประกันหนี้แล้ว คุณพิธาในฐานะกรรมการบริษัทก็ได้เป็นผู้ค้ำประกันหนี้ทั้งหมดด้วยคนหนึ่ง ในปี 2562 บริษัทผิดนัดชำระหนี้กับธนาคารหลายแห่ง และเจ้าหนี้ได้ฟ้องร้องต่อศาลขอให้ชำระหนี้ ต่อมาบริษัทได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอฟื้นฟูกิจการ ศาลได้มีคำสั่งรับคำร้องเมื่อวันที่ 14 เมษายน  2565

ข้อสังเกต : ยังไม่ชัดเจนว่า ในบัญชีทรัพย์สิน หนี้สิน ที่คุณพิธายื่นต่อ ป.ป.ช.ได้รวมรายการค้ำประกันหนี้สินก้อนโตก้อนนี้แล้วหรือไม่ ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบของ กกต. ถ้าไม่ได้ยื่น คุณพิธาอาจโดนคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอีกคดีหนึ่ง

จะเห็นว่า ข้อเท็จจริงข้างต้นสวนทางกับชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักกันในวงสังคมก่อนที่จะลงเล่นการเมือง ว่า คุณพิธาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง สามารถกอบกู้กิจการของครอบครัวจากที่มีหนี้สินหลายร้อยล้าน และประสบภาวะขาดทุน กลับมาเป็นทำกำไร และเป็นบริษัทชั้นนำในระดับเอเชียเลยทีเดียว ความจริงที่ปรากฏขึ้น เป็นการบ่งชี้ว่า ชื่อเสียงของคุณพิธาที่เราได้ยินกันในวงสังคมล้วนไม่เป็นจริงและเกิดจากการสร้างภาพทั้งสิ้น

เชื่อว่า ต่อจากนี้ไป ความจริงต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องของคุณพิธาจะค่อยๆ พรั่งพรูออกมา ซึ่งล้วนน่าจะเป็นข่าวร้ายสำหรับตัวคุณพิธา เมื่อเป็นเช่นนี้ หากด้อมส้มยังคิดว่าคุณพิธายังเหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นสิทธิของเขา แต่ไม่มีสิทธิอ้างว่า เป็นเพราะมีเสียงชี้ขาดแล้ว 14 ล้านเสียง เพราะ 14 ล้านเสียง นอกจากจะยังไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศแล้ว ยังไม่ใช่ทุกคนที่เลือก เพราะต้องการให้คุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้งในวันเลือกตั้ง ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับตัวคุณพิธายังไม่ได้ปรากฏออกมาทั้งหมด หากทราบเช่นนี้ก่อนการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลอาจไม่ได้เป็นพรรคที่ได้เสียงเป็นที่หนึ่งก็ได้

ด้อมส้มยิ่งไม่มีสิทธิไปกดดัน กระทั่งบีบบังคับให้วุฒิสมาชิกลงคะแนนเสียงให้ตามที่ตัวเองต้องการ วุฒิสมาชิกเขาก็มาตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันซึ่งจะอย่างไรก็ผ่านประชามติมาแล้ว วุฒิสมาชิกแต่ละคนมีความรู้และมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะพิจารณาได้ว่า ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ละคนมีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด วุฒิสมาชิกมีหน้าที่ลงคะแนนเพื่อประเทศชาติโดยรวม ไม่ใช่เพื่อตามกระแสที่มีขบวนการปั่นขึ้น

มาถึงขั้นนี้แล้วเชื่อเถิดว่า คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน ขอเพียงอย่าให้ต้องถูกดำเนินคดีอาญาจนต้องติดคุกติดตะราง ก็ถือว่าเป็นโชคดีมากแล้ว ฝืนอะไรฝืนได้ ฝืนวาสนาตัวเอง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

พระสยามเทวาธิราชมีจริง ศักดิ์สิทธิ์จริง ขอจงเชื่อ








Tags

Post a Comment

0Comments

Post a Comment (0)